ผลการค้นหารถมือสอง

• เครื่องยนต์: เบนซิน 2.4 ลิตร รหัส 2AZ-FE (ทนทาน, ดูแลง่าย, ไม่จุกจิก)
• กำลัง: 170 แรงม้า / แรงบิด: 224 นิวตัน-เมตร
• เกียร์: อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด
• จำนวนที่นั่ง: 7 ที่นั่ง (2-2-3)

นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ทุกคนยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อรุ่นนี้ครับ

1. เบาะนั่งแถวสอง "Mickey Mouse" หรือ "Captain Seat":

ดียังไง?: มันไม่ใช่แค่เบาะรถยนต์ แต่มันคือ "โซฟา VIP" เคลื่อนที่ครับ เบาะคู่นี้สามารถ ปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง, มี ที่รองน่องไฟฟ้า (Ottoman) ให้เหยียดขาได้เต็มที่, และมีพนักพิงศีรษะขนาดใหญ่ที่โอบรับเหมือนหมอน บอกเลยว่านั่งแล้วแทบไม่อยากลุกไปไหน

2. ออปชันจัดเต็มสมฐานะรุ่นท็อป:

ดียังไง?: รุ่น ZG Edition ให้ของมาแบบครบๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็น:

• Sunroof 2 ตอน: เพิ่มความโปร่งโล่งให้กับห้องโดยสาร
• ประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ข้าง และฝาท้ายไฟฟ้า: สะดวกสบายสุดๆ แค่กดปุ่มก็เปิด-ปิดได้เลย
• เบาะคนขับปรับไฟฟ้าพร้อม Memory Seat: จำตำแหน่งท่านั่งของคนขับได้
• ไฟ Ambient Light: สร้างบรรยากาศหรูหราในห้องโดยสารตอนกลางคืน

ด้วยความที่เป็นรถตู้ขนาดใหญ่และใช้เครื่องเบนซิน 2.4 ลิตร อัตราสิ้นเปลืองจะอยู่ที่ประมาณ 8 - 10 กิโลเมตร/ลิตร ครับ ซึ่งเป็นตัวเลขปกติสำหรับรถประเภทนี้

มาลองกดเครื่องคิดเลขกันดูเล่นๆ นะครับ...

รายการ	รถมือสองคันนี้ (จ่ายทีเดียวจบ)	ราคาตอนออกห้าง (ประมาณ)
ราคารวม	799,000 บาท	~ 3,500,000 บาท
ประหยัดไปได้	ประมาณ 2,700,000 บาท!

เห็นชัดๆ เลยว่า: การซื้อรถคันนี้ที่ราคา 799,000 บาท ทำให้คุณ ประหยัดเงินไปได้เกือบสามล้านบาท! คุณจ่ายเงินเท่ากับรถ C-Segment ป้ายแดง แต่ได้ความหรูหรา ความสบาย และพื้นที่ใช้สอยที่เหนือกว่ากันคนละระดับเลยครับ

ถ้าคุณกำลังมองหารถสำหรับครอบครัวที่ให้ ความสบายในการเดินทางสูงสุด หรือต้องการรถที่ใช้รับรองแขกผู้ใหญ่แล้วดูดีมีระดับ Toyota Vellfire ZG Edition คันนี้คือคำตอบที่ใช่เลยครับ การได้เป็นเจ้าของความหรูหรา ระดับ First Class ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขนาดนี้ ถือเป็นดีลที่คุ้มค่าและน่าสนใจมากๆ ครับ

• เครื่องยนต์: ดีเซล 2.8 ลิตร รหัส 1GD-FTV (ตัวเดียวกับ Fortuner/Revo) อึด ถึก ทน เบอร์หนึ่งในตลาด
• พละกำลัง: 177 แรงม้า / แรงบิด: 420 นิวตัน-เมตร (เหลือเฟือ แบกทั้งคนทั้งของหนักๆ ขึ้นเขาสบาย)
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 6 สปีด (ทนทาน ดูแลง่าย)
• ระบบช่วงล่าง: ด้านหลังเป็นแหนบซ้อน เกิดมาเพื่องานบรรทุกโดยเฉพาะ

จากรูปจะเห็นว่ารถคันนี้ไม่ใช่รถตู้ทึบ (Panel Van) ธรรมดา แต่มีการดัดแปลงที่ชาญฉลาดและตอบโจทย์การใช้งานจริงมากครับ

1. เพิ่มเบาะนั่งแถวที่สอง (3 ที่นั่ง):

• ทำอะไรได้: ทำให้รถคันนี้สามารถขนทีมงานหรือลูกน้องได้รวม 6 คน (คนขับ 3 + แถวหลัง 3) ไปพร้อมกับอุปกรณ์ได้เลย ไม่ต้องเอารถไปสองคัน
• ข้อดี: ช่วยประหยัดค่าน้ำมันและค่าดูแลรถไปได้เยอะมาก จบในคันเดียว สะดวกและคล่องตัวสุดๆ

2. กั้นห้องโดยสารและพื้นที่บรรทุก:

• ทำอะไรได้: มีการกั้นห้องอย่างเป็นสัดส่วนระหว่างส่วนที่นั่งผู้โดยสารและพื้นที่เก็บของด้านหลัง
• ข้อดี: ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ป้องกันไม่ให้เครื่องมือหรือสินค้าไหลมากระแทกผู้โดยสาร และยังช่วยให้แอร์ในห้องโดยสารเย็นเร็วขึ้นด้วย

3. ปูพื้นไวนิลอย่างดี:

• ทำอะไรได้: พื้นที่บรรทุกด้านหลังถูกปูด้วยแผ่นไวนิลหรือยางคุณภาพดี ทำให้ทนทานต่อรอยขีดข่วนและทำความสะอาดง่าย
• ข้อดี: พร้อมใช้งานได้ทันที ไม่ต้องเสียเงินและเวลาไปทำพื้นเพิ่ม วางเครื่องมือหรือสินค้าได้เลย

คันนี้เหมาะมากสำหรับธุรกิจที่ต้อง "ไปเป็นทีมพร้อมอุปกรณ์" ครับ เช่น:

• ผู้รับเหมาก่อสร้าง: ขนทีมช่างและเครื่องมือไปหน้างานได้สบาย
• ธุรกิจติดตั้งและบริการ: เช่น ทีมช่างแอร์, ช่างไฟฟ้า, หรือทีมติดตั้งอินเทอร์เน็ต
• กิจการ Event หรือกองถ่าย: ที่ต้องขนทั้งคนและอุปกรณ์ไปพร้อมๆ กัน

มาลองคิดเลขกันเล่นๆ นะครับ ถ้าวันนี้คุณจะออกรถใหม่ป้ายแดงมาทำสเปคแบบนี้...

รายการ	รถมือสองคันนี้ (จ่ายทีเดียวจบ)	ออกรถป้ายแดง (ทำเอง)
ราคารถใหม่ (Panel Van)	629,000 บาท	~ 999,000 บาท
ค่าดัดแปลง (เบาะ+กั้นห้อง+ปูพื้น)		~ 30,000 บาท
รวมทั้งหมด	629,000 บาท	~ 1,029,000 บาท
ประหยัดไปได้	400,000 บาท!

เห็นชัดๆ เลยว่า: การซื้อรถคันนี้ที่ราคา 629,000 บาท ทำให้คุณ ประหยัดเงินไปได้ถึงสี่แสนบาท! เมื่อเทียบกับการซื้อรถใหม่มาทำเอง แถมยังได้รถที่พร้อมใช้งานทันที

ถ้าคุณกำลังมองหารถที่ใช้งานได้หลากหลาย เป็นได้ทั้งรถขนของและรถขนคน Toyota HIACE คันนี้คือคำตอบที่ใช่เลยครับ ได้รถที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน มาพร้อมการดัดแปลงที่ตอบโจทย์ธุรกิจ ในราคาที่ประหยัดไปมหาศาล ถือเป็นการลงทุนที่ฉลาดและคุ้มค่ามากๆ ครับ

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ รหัส 1GD-FTV ขนาด 2.8 ลิตร พ่วงเทอร์โบแปรผัน (VN-Turbo)
• กำลังสูงสุด: 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 420 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 - 2,600 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: ธรรมดา 6 สปีด
• ระบบขับเคลื่อน: 2 ล้อหลัง (RWD)

1. พร้อมเป็นรถบริการ (Service Van) ทันที

จุดเด่น: การดัดแปลงทั้งหมดทำให้รถคันนี้พร้อมสำหรับธุรกิจช่าง, ผู้รับเหมา, หรือบริการซ่อมบำรุงนอกสถานที่ทันที
ข้อดี: ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการนำรถไปแต่งเพิ่มมหาศาล สามารถรับรถและนำไปเริ่มงานสร้างรายได้ได้เลย

2. ความทนทานและเชื่อถือได้สูงสุด

จุดเด่น: เครื่องยนต์ 1GD-FTV และโครงสร้างของ HIACE ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานระดับตำนาน
ข้อดี: ใช้งานได้อย่างสบายใจ ลดต้นทุนการซ่อมบำรุงในระยะยาว และมั่นใจได้ว่ารถจะพร้อมใช้งานเสมอ

3. ต้นทุนการเป็นเจ้าของต่ำและราคาขายต่อดีเยี่ยม

จุดเด่น: เป็นรถตลาดที่หาอะไหล่ง่าย และมีราคาขายต่อ (Resale Value) ที่แข็งมากที่สุดในบรรดารถตู้ทุกรุ่น
ข้อดี: แม้จะเป็นรถมือสอง แต่ก็ยังรักษามูลค่าได้ดี ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

1. การตกแต่งภายใน (Interior Fit-Out):

• พื้นและผนังอะลูมิเนียม: พื้นที่บรรทุกทั้งหมดถูกบุด้วยแผ่นอะลูมิเนียมอย่างดี ช่วยป้องกันรอยขีดข่วน, ทนทานสูง, และทำความสะอาดง่ายมาก
• ชั้นวางของสแตนเลส: มีการติดตั้งชั้นวางของแบบสั่งทำพิเศษที่ท้ายรถ เหมาะสำหรับจัดเก็บเครื่องมือ, อะไหล่, หรือสินค้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

2. อุปกรณ์ภายนอก (Exterior Equipment):

• แร็คหลังคาเหล็ก (Roof Rack): แร็คหลังคาแบบเหล็กสำหรับงานหนักโดยเฉพาะ สามารถบรรทุกของที่มีขนาดยาว เช่น บันได, ท่อ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย
• บันไดท้ายสแตนเลส: ช่วยให้การขึ้น-ลงเพื่อจัดของบนแร็คหลังคาทำได้อย่างสะดวกและปลอดภัย

เฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 10 - 12 กิโลเมตร/ลิตร (แร็คหลังคาอาจเพิ่มแรงต้านลมเล็กน้อย)

รายการ	ต้นทุนรถมือสองคันนี้ (ราคาเดียวจบ)	ต้นทุนออกรถป้ายแดง (ทำสเปคเดียวกัน)
ราคารถใหม่ (Panel Van)	699,000 บาท	999,000 บาท
ค่าดัดแปลงภายใน (พื้น+ผนัง+ชั้นวาง)		~ 30,000 บาท
ค่าติดตั้งภายนอก (แร็ค+บันได)		~ 15,000 บาท
รวมต้นทุนทั้งหมด	699,000 บาท	~ 1,044,000 บาท
ส่วนต่างความคุ้มค่า	ประหยัดกว่า 345,000 บาท

บทวิเคราะห์: ที่ราคา 699,000 บาท สำหรับรถปี 2020 ที่แต่งมาครบชุด ถือว่า คุ้มค่าอย่างที่สุด เพราะคุณ ประหยัดเงินไปได้เกือบ 350,000 บาท เมื่อเทียบกับการซื้อรถใหม่มาทำเอง และที่สำคัญคือได้รถที่พร้อมใช้งานทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลา

Toyota HIACE 2.8 Eco Van (2020) คันนี้ คือ "เครื่องมือทำเงินเคลื่อนที่" ที่สมบูรณ์แบบ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ ธุรกิจบริการเคลื่อนที่, ช่างเทคนิค, ผู้รับเหมา, หรือธุรกิจขนส่ง ที่ต้องการความเป็นระเบียบและความทนทานสูงสุด การลงทุนกับรถคันนี้คือทางลัดสู่การมีรถ Service Van คุณภาพสูงในต้นทุนที่ต่ำกว่าอย่างชัดเจนครับ

• เครื่องยนต์: ดีเซล 4 สูบ Commonrail รหัส D4CB ขนาด 2.5 ลิตร พ่วงเทอร์โบแปรผัน (VGT)
• กำลังสูงสุด: 174 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 392 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 - 2,500 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: อัตโนมัติ 5 สปีด
• ระบบขับเคลื่อน: 2 ล้อหลัง (RWD)
• ช่วงล่าง: ด้านหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท / ด้านหลัง คานแข็ง พร้อมคอยล์สปริง 5-Link
• จำนวนที่นั่ง: 12 ที่นั่ง

1. ห้องโดยสารกว้างขวางและอเนกประสงค์

จุดเด่น: ภายในกว้างขวางมาก สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 12 ที่นั่งอย่างสบาย เบาะนั่งสามารถปรับเลื่อนและหมุนได้ (ในบางตำแหน่ง) เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย
ข้อดี: เป็นรถที่ "คันเดียวจบ" สำหรับครอบครัวใหญ่ หรือสำหรับธุรกิจที่ต้องการรถรับส่งลูกค้าที่ให้ความสะดวกสบายสูงสุด

2. เครื่องยนต์ดีเซลทรงพลัง ทนทาน

จุดเด่น: เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 CRDi VGT ให้แรงบิดสูงถึง 392 นิวตัน-เมตร ทำให้มีอัตราเร่งที่ดีเยี่ยมแม้จะมีผู้โดยสารเต็มคันรถ ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและดูแลรักษาง่าย
ข้อดี: ขับขี่ทางไกลได้อย่างมั่นใจ มีกำลังเร่งแซงเหลือเฟือ และให้ความประหยัดน้ำมันที่ดีเมื่อเทียบกับขนาดของตัวรถ

3. ช่วงล่างนุ่มนวล เกาะถนน

จุดเด่น: การใช้ช่วงล่างหลังแบบคอยล์สปริง 5-Link (ไม่ใช่แหนบเหมือนรถกระบะ) ทำให้ H-1 มีความนุ่มนวลในการขับขี่สูงกว่ารถตู้ที่ดัดแปลงจากรถกระบะอย่างชัดเจน
ข้อดี: ผู้โดยสารนั่งสบาย ลดความเมื่อยล้าในการเดินทางไกล และยังให้การทรงตัวที่ดี عندใช้ความเร็วสูง

รุ่น Maesto Deluxe คือรุ่นท็อปในสมัยนั้น ซึ่งมาพร้อมออปชันที่หรูหราและครบครันกว่ารุ่นพื้นฐานอย่างชัดเจน

ออปชันเด่น	รุ่นพื้นฐาน (Touring)	Maesto Deluxe (คันนี้)
ซันรูฟ	ไม่มี	มี 2 ตำแหน่ง (Dual Sunroof)
เบาะนั่ง	เบาะผ้า	เบาะหนังแท้
ลายไม้	ไม่มี	มีตกแต่งภายใน
สปอยเลอร์หลัง	ไม่มี	มี

ข้อดีของรุ่น Deluxe: การได้ซันรูฟ 2 ตำแหน่งและเบาะหนังช่วยเพิ่มความหรูหราและความโปร่งโล่งให้กับห้องโดยสารได้อย่างมาก ทำให้บรรยากาศในการเดินทางน่ารื่นรมย์ยิ่งขึ้น

เฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 9 - 11 กิโลเมตร/ลิตร (ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรและลักษณะการขับขี่)

ที่ราคา 389,000 บาท สำหรับรถตู้ MPV ขนาดใหญ่ที่เคยมีราคาสูงถึง 1.3 ล้านบาท ถือว่าเป็นราคาที่ "คุ้มค่ามากสำหรับพื้นที่ใช้สอยที่ได้รับ"

• ประหยัดกว่าป้ายแดงมหาศาล: คุณจ่ายเงินไม่ถึง 30% ของราคาเดิม แต่ได้รถที่มีศักยภาพการใช้งานเทียบเท่ากัน
• ได้รุ่นท็อปออปชันเต็ม: ในราคานี้คุณได้ออปชันครบชุด ทั้งเบาะหนังและซันรูฟคู่ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าใช้งานให้กับรถอย่างมาก

Hyundai H-1 2.5 Maesto Deluxe (2009) ในราคานี้ เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ขนาดใหญ่เพื่อ รองรับสมาชิกในครอบครัวจำนวนมาก หรือ เริ่มต้นธุรกิจรถรับ-ส่ง ในงบประมาณที่จำกัด หากรถอยู่ในสภาพดีและมีการดูแลรักษามาอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นดีลที่ให้ความคุ้มค่าสูงมากในแง่ของความอเนกประสงค์และพื้นที่ใช้สอยครับ

• รุ่น: Vellfire 2.5 Z G Edition
• ปี: 2017
• เครื่องยนต์: เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบ Dual VVT-i
• กำลังสูงสุด: 182 แรงม้า
• ระบบเกียร์: CVT (Shiftmatic 7 สปีด)
• ระบบขับเคลื่อน: ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD)
• ความจุผู้โดยสาร: 7 ที่นั่ง (3 แถว)
• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: 10–11 กม./ลิตร

ดีไซน์สปอร์ตหรู สะท้อนเอกลักษณ์ Vellfire:

กระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่พร้อมไฟหน้า LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยว

• ดีไซน์ภายนอกที่ดูสปอร์ตและดุดัน: จุดเด่นที่สุดคือชุดไฟหน้าแบบแยกส่วนที่มีดีไซน์เฉพาะตัว ช่วยให้รถดูเฉียบคมและล้ำสมัย
• สร้างความแตกต่างและตัวตนที่ชัดเจน: Vellfire ได้รับการออกแบบให้มีภาพลักษณ์ที่ดู กล้าหาญ, มีพลัง และเป็นตัวของตัวเอง

รุ่น ZG Edition อัปเกรดวัสดุภายในหรูหรา:

พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกขั้นสูง

• ดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่น: ด้วยดีไซน์ "Z" ที่เน้นความสปอร์ต ทำให้รถมาพร้อมชุดแต่งรอบคันที่ดุดันและมีเอกลักษณ์
• ภายในที่มาพร้อมความหรูหรา: แพ็คเกจ "G Edition" จะเพิ่มความหรูหราด้วยเบาะนั่งแถวสองที่สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าได้หลากหลายทิศทาง

ห้องโดยสารพรีเมียมเต็มรูปแบบ:

เบาะแถวกลาง Captain Seat + Ottoman ปรับไฟฟ้า ให้ความสบายระดับ VIP

• เบาะนั่งที่ให้ความสบายระดับเฟิร์สคลาส: มาพร้อมเบาะนั่งแถวที่สองแบบ Captain Seat ที่มีขนาดใหญ่และสามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าได้
• พื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางเป็นพิเศษ: ด้วยการออกแบบตัวรถที่สูงและกว้างขวาง ทำให้ห้องโดยสารมีพื้นที่เหนือศีรษะและพื้นที่วางขาที่เหลือเฟือ

ระบบความปลอดภัยครบครัน:

ถุงลม 7 จุด, VSC, Hill Start Assist, เซนเซอร์รอบคัน ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่

• ระบบควบคุมการทรงตัวอัจฉริยะ (VSC): ช่วยป้องกันรถไม่ให้เสียการควบคุมหรือไถลเมื่อเข้าโค้งกะทันหัน
• ถุงลมนิรภัย 9 จุด: ให้การปกป้องผู้โดยสารอย่างเต็มที่เมื่อเกิดการชน

รายการ	Vellfire 2.5 Z	Vellfire 2.5 Z G Edition (รุ่นนี้)	Vellfire 3.5 Executive Lounge
เครื่องยนต์	เบนซิน 2.5 182 แรงม้า	เบนซิน 2.5 182 แรงม้า	V6 3.5 296 แรงม้า
เบาะโดยสาร	Captain Seat	Captain Seat + Ottoman + ปรับไฟฟ้า	VIP Seat พร้อมคอนโซลกลาง
ฟังก์ชันเด่น	อุปกรณ์มาตรฐาน	วัสดุหรูหรา + Comfort ครบ	หรูสุด, เบาะ VIP, ออปชันสูงสุด
เหมาะสำหรับ	ครอบครัวทั่วไป	ผู้บริหาร + ครอบครัว	ผู้บริหารระดับสูง

• ราคาป้ายแดง (2017): ≈ 3,879,000 บาท
• คันนี้ขายเพียง: 1,490,000 บาท
• ประหยัดกว่า 2,389,000 บาท (≈ 61%)

สรุป: ได้รถตู้หรูระดับ Flagship ของ Toyota ที่มีความโดดเด่นด้านดีไซน์ สปอร์ต และหรูหราครบจบในคันเดียว

• รุ่น: Vellfire 2.5 ZG Edition
• ปี: 2018
• เครื่องยนต์: เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบ Dual VVT-i
• กำลังสูงสุด: 182 แรงม้า
• ระบบเกียร์: CVT (Shiftmatic 7 สปีด)
• ระบบขับเคลื่อน: ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD)
• ความจุผู้โดยสาร: 7 ที่นั่ง (3 แถว)
• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: 10–11 กม./ลิตร

ดีไซน์สปอร์ตหรู สะท้อนเอกลักษณ์ Vellfire:

กระจังหน้าขนาดใหญ่พร้อมไฟหน้า LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยว

• ดีไซน์ภายนอกที่ดูสปอร์ตและดุดัน: จุดเด่นที่สุดคือชุดไฟหน้าแบบแยกส่วนที่มีดีไซน์เฉพาะตัว ช่วยให้รถดูเฉียบคมและล้ำสมัย
• สร้างความแตกต่างและตัวตนที่ชัดเจน: Vellfire ได้รับการออกแบบให้มีภาพลักษณ์ที่ดู กล้าหาญ, มีพลัง และเป็นตัวของตัวเอง

รุ่น ZG Edition อัปเกรดวัสดุภายในหรูหรา:

พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกขั้นสูง

• ดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่น: ด้วยดีไซน์ "Z" ที่เน้นความสปอร์ต ทำให้รถมาพร้อมชุดแต่งรอบคันที่ดุดันและมีเอกลักษณ์
• ภายในที่มาพร้อมความหรูหรา: แพ็คเกจ "G Edition" จะเพิ่มความหรูหราด้วยเบาะนั่งแถวสองที่สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าได้หลากหลายทิศทาง

ห้องโดยสารพรีเมียมเต็มรูปแบบ:

เบาะแถวกลาง Captain Seat + Ottoman ปรับไฟฟ้า ให้ความสบายระดับ VIP

• เบาะนั่งที่ให้ความสบายระดับเฟิร์สคลาส: มาพร้อมเบาะนั่งแถวที่สองแบบ Captain Seat ที่มีขนาดใหญ่และสามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าได้
• พื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางเป็นพิเศษ: ด้วยการออกแบบตัวรถที่สูงและกว้างขวาง ทำให้ห้องโดยสารมีพื้นที่เหนือศีรษะและพื้นที่วางขาที่เหลือเฟือ

ระบบความปลอดภัยครบครัน:

ถุงลม 7 จุด, VSC, Hill Start Assist, เซนเซอร์รอบคัน

• ระบบควบคุมการทรงตัวอัจฉริยะ (VSC): ช่วยป้องกันรถไม่ให้เสียการควบคุมหรือไถลเมื่อเข้าโค้งกะทันหัน
• ถุงลมนิรภัย 9 จุด: ให้การปกป้องผู้โดยสารอย่างเต็มที่เมื่อเกิดการชน

รายการ	Vellfire 2.5 Z	Vellfire 2.5 ZG Edition (รุ่นนี้)	Vellfire 3.5 Executive Lounge
เครื่องยนต์	เบนซิน 2.5 182 แรงม้า	เบนซิน 2.5 182 แรงม้า	V6 3.5 296 แรงม้า
เบาะโดยสาร	Captain Seat	Captain Seat + Ottoman + ปรับไฟฟ้า	VIP Seat พร้อมคอนโซลกลาง
ฟังก์ชันเด่น	อุปกรณ์มาตรฐาน	วัสดุหรูหรา + Comfort ครบ	หรูสุด, เบาะ VIP, ออปชันเต็ม
เหมาะสำหรับ	ครอบครัวทั่วไป	ผู้บริหาร + ครอบครัว	ผู้บริหารระดับสูง

• ราคาป้ายแดง (2018): ≈ 3,939,000 บาท
• คันนี้ขายเพียง: 1,629,000 บาท
• ประหยัดกว่า 2,310,000 บาท (≈ 59%)

สรุป: ได้รถตู้หรูระดับ Flagship ของ Toyota ที่ผสมผสานทั้งความสปอร์ต ความหรูหรา และความสะดวกสบายครบครัน

• รุ่น: Vellfire 2.5 Z G Edition
• ปี: 2017
• เครื่องยนต์: เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบ Dual VVT-i
• กำลังสูงสุด: 182 แรงม้า
• ระบบเกียร์: CVT (Shiftmatic 7 สปีด)
• ระบบขับเคลื่อน: ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD)
• ความจุผู้โดยสาร: 7 ที่นั่ง (3 แถว)
• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: 10–11 กม./ลิตร

เอกลักษณ์ดีไซน์ Vellfire:

กระจังหน้าดีไซน์เฉียบ ไฟหน้า-ไฟท้าย LED สไตล์สปอร์ต

• ดีไซน์ภายนอกที่ดูสปอร์ตและดุดัน: จุดเด่นที่สุดคือชุดไฟหน้าแบบแยกส่วนที่มีดีไซน์เฉพาะตัว ช่วยให้รถดูเฉียบคมและล้ำสมัย
• สร้างความแตกต่างและตัวตนที่ชัดเจน: Vellfire ได้รับการออกแบบให้มีภาพลักษณ์ที่ดู กล้าหาญ, มีพลัง และเป็นตัวของตัวเอง

รุ่น Z G Edition:

หรูหรากว่ารุ่นมาตรฐาน พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

• ดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่น: ด้วยดีไซน์ "Z" ที่เน้นความสปอร์ต ทำให้รถมาพร้อมชุดแต่งรอบคันที่ดุดันและมีเอกลักษณ์
• ภายในที่มาพร้อมความหรูหรา: แพ็คเกจ "G Edition" จะเพิ่มความหรูหราด้วยเบาะนั่งแถวสองที่สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าได้หลากหลายทิศทาง

ห้องโดยสารพรีเมียม:

เบาะแถวกลาง Captain Seat พร้อมที่วางขา (Ottoman) และปรับไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

• เบาะนั่งที่ให้ความสบายสูงสุด: หัวใจสำคัญของ Alphard คือเบาะนั่งแถวสองที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อความสบายสูงสุด
• พื้นที่ใช้สอยที่โอ่โถงและใช้งานได้จริง: ด้วยขนาดตัวรถที่ใหญ่และออกแบบอย่างชาญฉลาด ทำให้มีพื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะที่กว้างขวาง

ระบบความปลอดภัยครบครัน:

ถุงลม 9 จุด, VSC, Hill Start Assist, เซนเซอร์รอบคัน

• ระบบควบคุมการทรงตัวอัจฉริยะ (VSC): ช่วยป้องกันรถไม่ให้เสียการควบคุมหรือไถลเมื่อเข้าโค้งกะทันหัน
• ถุงลมนิรภัย 9 จุด: ให้การปกป้องผู้โดยสารอย่างเต็มที่เมื่อเกิดการชน

รายการ	Vellfire 2.5 Z	Vellfire 2.5 Z G Edition (รุ่นนี้)	Vellfire 3.5 Executive Lounge
เครื่องยนต์	เบนซิน 2.5 182 แรงม้า	เบนซิน 2.5 182 แรงม้า	V6 3.5 296 แรงม้า
เบาะโดยสาร	Captain Seat	Captain Seat + Ottoman + ปรับไฟฟ้า	VIP Seat พร้อมคอนโซลกลาง
ฟังก์ชันเด่น	อุปกรณ์มาตรฐาน	อัปเกรดวัสดุหรูหรา + Comfort	หรูสุด, เบาะ VIP, ออปชันครบ
เหมาะสำหรับ	ครอบครัวทั่วไป	ผู้บริหาร + ครอบครัว	ผู้บริหารระดับสูง

• ราคาป้ายแดง (2017): ≈ 3,879,000 บาท
• คันนี้ขายเพียง: 1,629,000 บาท
• ประหยัดกว่า 2,250,000 บาท (≈ 58%)

สรุป: ได้รถตู้หรูระดับ Flagship ของ Toyota ที่มีความโดดเด่นด้านดีไซน์ สปอร์ต และหรูหราครบจบในคันเดียว

• รุ่น: Alphard 2.5 Hybrid E-Four
• ปี: 2015
• เครื่องยนต์: เบนซิน 2.5 ลิตร + มอเตอร์ไฟฟ้า Hybrid
• กำลังสูงสุดรวม: 197 แรงม้า
• ระบบเกียร์: E-CVT
• ระบบขับเคลื่อน: 4WD (E-Four)
• ความจุผู้โดยสาร: 7 ที่นั่ง (3 แถว)
• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: 14 กม./ลิตร

ระบบ Hybrid รุ่นแรกใน Alphard:

ช่วยประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่นเบนซินเดิม

• ประหยัดน้ำมันอย่างน่าทึ่ง: ด้วยการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ Alphard Hybrid มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ยอดเยี่ยมกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป
• ความนุ่มนวลและเงียบสงบในห้องโดยสาร: ในช่วงการออกตัวหรือขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ระบบจะใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ทำให้การเคลื่อนตัวของรถเป็นไปอย่างเงียบสงบ

ระบบขับเคลื่อน E-Four (4WD):

ขับมั่นใจในทุกเส้นทาง โดยเฉพาะการเดินทางไกล

• การยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม: ระบบ E-Four เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแยกสำหรับขับเคลื่อนล้อหลัง โดยจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อระบบตรวจจับได้ว่าล้อหน้าเริ่มสูญเสียการยึดเกาะถนน
• ประหยัดน้ำมันและมีประสิทธิภาพ: ระบบ E-Four จะส่งกำลังไปยังล้อหลังเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น ซึ่งช่วยให้รถประหยัดน้ำมันได้ดีกว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบปกติ

ภายในกว้างขวางและหรูหรา:

เบาะแถวกลาง Captain Seat พร้อมที่วางขา

• เบาะนั่งที่ให้ความสบายสูงสุด: หัวใจสำคัญของ Alphard คือเบาะนั่งแถวสองที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อความสบายสูงสุด ด้วยขนาดที่ใหญ่, การปรับเอนด้วยระบบไฟฟ้า, และที่รองขา (Ottoman)
• พื้นที่ใช้สอยที่โอ่โถงและใช้งานได้จริง: ด้วยขนาดตัวรถที่ใหญ่และออกแบบอย่างชาญฉลาด ทำให้มีพื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะที่กว้างขวาง

ความปลอดภัยมาตรฐาน Toyota:

มาพร้อมระบบควบคุมการทรงตัวและถุงลมนิรภัยรอบคัน

• ระบบความปลอดภัยเชิงปกป้อง (Passive Safety): โครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งและถุงลมนิรภัยรอบคัน ช่วยปกป้องผู้โดยสารในกรณีที่เกิดการชน
• ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety): ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSC) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC) ช่วยป้องกันรถไม่ให้เสียการควบคุม

รายการ	Alphard 2.5 S	Alphard 2.5 Hybrid E-Four (รุ่นนี้)	Alphard 3.5 Executive Lounge
เครื่องยนต์	เบนซิน 2.5 182 แรงม้า	Hybrid 2.5 + มอเตอร์ไฟฟ้า 197 แรงม้า	เบนซิน V6 3.5 296 แรงม้า
ระบบขับเคลื่อน	FWD	4WD (E-Four)	FWD
เบาะโดยสาร	Captain Seat	Captain Seat + Ottoman	Captain Seat VIP
อัตราสิ้นเปลือง	~10–11 กม./ลิตร	~14 กม./ลิตร	~8–9 กม./ลิตร
เหมาะสำหรับ	ครอบครัวทั่วไป	ผู้บริหาร + ประหยัดน้ำมัน	ผู้บริหารระดับสูง

• ราคาป้ายแดง (2015): ≈ 3,799,000 บาท
• คันนี้ขายเพียง: 1,349,000 บาท
• ประหยัดกว่า 2,450,000 บาท (≈ 64%)

สรุป: ได้รถตู้หรู Hybrid รุ่นแรก ที่มีความคุ้มค่าทั้งด้านความประหยัดน้ำมัน ความหรูหรา และระบบ 4WD